ธปท. ออกมาตรการหวังสกัดภัยทางการเงินด้วย Biometrics ที่ต่อไปโอนเงินเกิน 5 หมื่น ต้องสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน

ธปท. ออกมาตรการหวังสกัดภัยทางการเงินด้วย Biometrics ที่ต่อไปโอนเงินเกิน 5 หมื่น ต้องสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องภัยทุจริตทางการเงินเกิดขึ้นเยอะขึ้นมากในโลกดิจิทัล ประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมากด้วยวิธีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น SMS หลอกลวง, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, แอปพลิเคชันให้สินเชื่อปลอม และแอปพลิเคชันดูดเงิน

เพราะจากข้อมูลพบว่ามิจฉาชีพส่วนใหญ่มักโอนวงเงินเกินกว่า 50,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งผลกระทบตัวลูกค้าจากครั้งนี้มีเพียง 1% เท่านั้นที่โอนเงินครั้งละมากๆ

ปัญหานี้ทำให้ ธปท. ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนจึงได้ออกนโยบายชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินเพื่อหวังสกัดภัยทางการเงิน ซึ่งแบ่งเป็น 3 มาตรการ ดังนี้

1. มาตรการป้องกันระบบไบโอแมทตริก

  •  ห้ามแนบ link ผ่าน SMS และ E-Mail ห้ามส่ง Link ขอข้อมูลส่วนบุคคล หรือ OTP ผ่าน Social Media เริ่ม ก.พ. 66 เสร็จสิ้น มิ.ย.66
  •  ปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยบน Mobile Banking ให้ Update ล่าสุด เริ่ม ก.พ. 66
  • ให้ลูกค้ายืนยันตัวตนด้วยระบบ Biometrics เมื่อเปิดบัญชีแบบ non-face-to-face (เสร็จแล้ว)

2. มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชี

เพื่อให้ สง. ช่วยจำกัดความเสียหายได้เร็วขึ้น และลดการใช้บัญชีม้า ธปท. จะกำหนดเงื่อนไขการตรวจจับและติดตามธุรกรรมเข้าข่ายผิดปกติ หรือกระทำความผิด เพื่อให้ สง. รายงานไปสำนักงาน ปปง. รวมทั้งให้ สง. ต้องมีระบบตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัยแบบ near real-time เพื่อให้สามารถระงับธุรกรรมได้ทันทีเป็นการชั่วคราวเมื่อตรวจพบ

3. มาตรการตอบสนองและรับมือ

เพื่อจัดการปัญหาให้ผู้เสียหายได้เร็วขึ้น ให้ สง. ทุกแห่งต้องมีช่องทางติดต่อเร่งด่วน ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้สำหรับแยกจากช่องทางให้บริการปกติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการแจ้งเหตุได้โดยเร็ว รวมทั้งให้ดูแลรับผิดชอบผู้ใช้บริการ หากพบว่าความเสียหายเกิดจากข้อบกพร่องของ สง.

โดยทาง ธปท. กำหนด 3 ธุรกรรม ที่จะต้องมีการยืนยันตัวตนคือ

  1. ธุรกรรมที่โอนวงเงินเกิน 50,000 บาท/รายการ
  2. ธุรกรรมโอนวงเงินเกิน 200,000 บาท/วัน
  3. การปรับเพิ่มวงเงินเกิน 50,000 บาทต่อวัน โดยลูกค้าจะต้องมีการยืนยันตัวตนลูกค้า

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย