ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องภัยทุจริตทางการเงินเกิดขึ้นเยอะขึ้นมากในโลกดิจิทัล ประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมากด้วยวิธีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น SMS หลอกลวง, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, แอปพลิเคชันให้สินเชื่อปลอม และแอปพลิเคชันดูดเงิน
เพราะจากข้อมูลพบว่ามิจฉาชีพส่วนใหญ่มักโอนวงเงินเกินกว่า 50,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งผลกระทบตัวลูกค้าจากครั้งนี้มีเพียง 1% เท่านั้นที่โอนเงินครั้งละมากๆ
ปัญหานี้ทำให้ ธปท. ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนจึงได้ออกนโยบายชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินเพื่อหวังสกัดภัยทางการเงิน ซึ่งแบ่งเป็น 3 มาตรการ ดังนี้
เพื่อให้ สง. ช่วยจำกัดความเสียหายได้เร็วขึ้น และลดการใช้บัญชีม้า ธปท. จะกำหนดเงื่อนไขการตรวจจับและติดตามธุรกรรมเข้าข่ายผิดปกติ หรือกระทำความผิด เพื่อให้ สง. รายงานไปสำนักงาน ปปง. รวมทั้งให้ สง. ต้องมีระบบตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัยแบบ near real-time เพื่อให้สามารถระงับธุรกรรมได้ทันทีเป็นการชั่วคราวเมื่อตรวจพบ
เพื่อจัดการปัญหาให้ผู้เสียหายได้เร็วขึ้น ให้ สง. ทุกแห่งต้องมีช่องทางติดต่อเร่งด่วน ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้สำหรับแยกจากช่องทางให้บริการปกติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการแจ้งเหตุได้โดยเร็ว รวมทั้งให้ดูแลรับผิดชอบผู้ใช้บริการ หากพบว่าความเสียหายเกิดจากข้อบกพร่องของ สง.
โดยทาง ธปท. กำหนด 3 ธุรกรรม ที่จะต้องมีการยืนยันตัวตนคือ
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธปท. ออกมาตรการหวังสกัดภัยทางการเงินด้วย Biometrics ที่ต่อไปโอนเงินเกิน 50,000 บาท ต้องยืนยันตัวตน
ตรึงไม่ไหวแล้ว !! “ก๊าซหุงต้ม” เตรียมขึ้นราคา 423 บาท/ถัง เริ่มแล้ว 1 มี.ค. 66